เอฟเวอร์ตันลงทุนครั้งใหญ่ เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส หวังคืนความยิ่งใหญ่

การกลับมาของ เดวิด มอยส์ ในฐานะกุนซือเอฟเวอร์ตันรอบสอง เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา เกิดขึ้นในจังหวะที่ทีมมีแต้มเหนือโซนตกชั้นเพียง 1 คะแนน
ผลงานในสนามก็สวนทางกับช่วงก่อนหน้าอย่างชัดเจน เพราะนับตั้งแต่ต้นเดือนพฤษภาคม ไม่มีทีมใดเก็บแต้มได้มากกว่าเอฟเวอร์ตัน โดยปัจจุบันพวกเขารั้งอันดับ 5 ของพรีเมียร์ลีก
การลงทุนครั้งประวัติศาสตร์
ภารกิจแรกของสโมสรคือการปรับโฉมทีม หลังผู้เล่นตัวหลักหลายรายอำลาทีมไป รวมถึง อับดูลาย ดูกูเร่, โดมินิก คัลเวิร์ต-ลูวิน, แจ็ค แฮร์ริสัน และแอชลีย์ ยัง เอฟเวอร์ตันจึงทุ่มงบเสริมทัพด้วยมูลค่า สุทธิ 97 ล้านปอนด์ ถือเป็นการใช้เงินมากที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสร และสูงกว่าการใช้จ่ายรวมกันใน 7 ฤดูกาลก่อนหน้า
หากการย้ายทีมถาวรของ เมอร์ลิน โรห์ล จากไฟร์บวร์ก (17 ล้านปอนด์) เกิดขึ้นจริง ตัวเลขสุทธิจะพุ่งเป็น 114 ล้านปอนด์ทันที
การเงินพลิกฟื้น
การเข้ามาเทกโอเวอร์ของ กลุ่มฟรีดกิ้น (Friedkin Group) มีบทบาทสำคัญต่อการพลิกโฉมทางการเงิน หนี้สินจำนวนมหาศาลถูกเปลี่ยนเป็นทุนหรือปรับโครงสร้างใหม่อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันสนามใหม่ความจุ 52,769 ที่นั่ง ยังเพิ่มรายได้ทั้งจากค่าตั๋วและพื้นที่บริการทางธุรกิจ
ที่สำคัญ การปิดดีลนักเตะส่วนใหญ่เกิดขึ้นหลัง 30 มิถุนายน ซึ่งช่วยจัดการด้านกฎการเงินของพรีเมียร์ลีก (PSR) ได้เป็นอย่างดี
การเสริมทัพอย่างมีคุณภาพ
ซัมเมอร์นี้ เอฟเวอร์ตันเรียนรู้จากอดีต และมุ่งซื้อนักเตะที่ตรงตามความต้องการของทีมมากขึ้น การยืมตัว แจ็ค กรีลิช จากแมนฯ ซิตี้ ถือเป็นดีลที่สร้างความฮือฮามากที่สุด โดยเขาทำ 2 แอสซิสต์ในสองเกมแรกที่ลงเล่น มากกว่าผลงานเดิมที่เคยทำได้ในพรีเมียร์ลีกตลอด 191 นัดก่อนหน้า
ขณะที่ เคียร์แนน ดิวส์บิวรี-ฮอลล์ (24 ล้านปอนด์) กลายเป็นตัวปั้นเกมหลัก สร้างโอกาสมากที่สุดนับจากซีซันที่แล้ว ส่วน เธียร์โน แบร์รี (27 ล้านปอนด์) หัวหอกดาวรุ่งจากบียาร์เรอัล โดดเด่นในการยืนค้ำแดนหน้า
ยังมี ไทเลอร์ ดิบลิง ดาวรุ่งค่าตัวแพงที่สุดของทีม (อาจแตะ 40 ล้านปอนด์) ที่รอเวลาเปิดตัวในลีก โดยบรรยากาศในทีมเต็มไปด้วยผู้นำ ทั้งแข้งใหม่และเก๋าอย่าง เซมัส โคลแมน และไมเคิล คีน ที่ยังถูกเก็บไว้ใช้งาน
เป้าหมายใหม่กับถ้วยแรกในรอบ 30 ปี
แม้จะลงทุนมหาศาล แต่เอฟเวอร์ตันยังคงอยู่อันดับ 7 ของพรีเมียร์ลีกในตารางใช้เงินสุทธิช่วงซัมเมอร์ ตามหลังแมนฯ ซิตี้ 24 ล้านปอนด์ และยังแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพการเล่นเกินความคาดหมาย
เลออน ออสแมน อดีตกองกลางท็อฟฟี่มองว่า เดวิด มอยส์ กำลังสร้างทีมที่มีคุณภาพและความทะเยอทะยานมากพอจะลุ้นแชมป์ถ้วยแรกตั้งแต่ปี 1995 แต่ย้ำว่าความจริงแล้ว การจบกลางตารางก็ถือเป็นความก้าวหน้าครั้งใหญ่แล้ว
“ทุกคนที่เอฟเวอร์ตันอยากเห็นทีมชูถ้วย มอยส์เองก็อยากทำสิ่งนั้นให้สโมสร” ออสแมนทิ้งท้าย

